CD-ROM (compact disc, read-only-memory) เป็นการพัฒนา CD ที่ได้รับการออกแบบให้เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ ในรูปแบบของข้อความและกราฟฟิก และระบบเสียงไฮไฟสเตอริโอ มาตรฐานรูปแบบข้อมูลเริ่มแรกได้รับการกำหนดโดย Phillips และ Sony, ใน Yellow Book ปี 1983 มาตรฐานอื่นที่ใช้ร่วมกันในการกำหนดไดเรคทอรี่และโครงสร้างไฟล์ รวมถึง ISO 9660, HFS (Hieraehal File System สำหรับ Macintosh) และ Hybrid HFS-ISO รูปแบบขอบ CD-ROM เหมือนกับ audio CDs มาตรฐาน CD มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 120 ม.ม. (4.75 นิ้ว) และความหนา 1.2 ม.ม. (0.05 นิ้ว) และประกอบด้วยพลาสติกโพลีคาร์บอเนตที่เป็นชั้น (ชั้นล่าง -เป็นตัวหลักของดิสก์) มีโลหะสะท้อนแสง( เช่น อลูมิเนี่ยม) บาง ๆ 1 ชั้น หรือมากกว่าและเคลือบด้วยแลคเกอร์
Yellow Book มีข้อกำหนดโดยทั่วไปที่กลัวว่าอุตสาหกรรมจะมีรูปแบบสร้างที่ไม่สอดคล้องกัน เพื่อที่จะป้องกันเหตุการณ์ดังกล่าว ตัวแทนจากผู้นำอุตสาหกรรม พบกันที่ High Sierra Hotel ใน Lake Tahoe เพื่อสร้างมาตรฐานร่วมซึ่งมีชื่อเรียกว่า High Sierra Format เวอร์ชันที่ได้ปรับปรุงเป็นมาตรฐาน ISO 9660 ปัจจุบันมาตรฐาน CD-ROM สามารถทำงานกับมาตรฐานไดร์ฟต่าง ๆ ของ CD-ROM ไดร์ฟ CD-ROM สามารอ่านคอมแพคดิสก์สำหรับเพลง แต่เครื่องเล่น CD ไม่สามารถอ่าน CD - ROM
การเก็บข้อมูลของ CD-ROM
ถึงแม้ว่าตัวกลางของดิสก์ และไดร์ฟ ของ CD และ CD-ROM มีหลักการเหมือนกันแต่มีวิธีที่แตกต่างกันในเก็บข้อมูลและจัดการข้อมูล มี sector ใหม่ 2 sector ได้รับการกำหนด Mode 1 สำหรับการเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ และ Mode 2 สำหรับข้อมูล audio หรือ video/graphic แบบบีบอัด
CD-ROM mode 1
CD-ROM mode 1 เป็นโหมดที่ใช้สำหรับ CD-ROM ในการนำข้อมูลและการประยุกต์โดยเฉพาะ เพื่อที่จะเข้าถึงไฟล์ข้อมูลนับพันไฟล์ สามารถเก็บใน CD ประเภทนี้ ซึ่งตำแหน่งที่มีความแม่นยำไม่มีความจำเป็น ข้อมูลได้รับการวางวิธีเดียวกับดิสก์แบบ audio โดยข้อมูลจะเก็บใน sector ซึ่งแต่ละsector เก็บข้อมูลได้ 2,352 ไบต์ โดยการเพิ่มหมายเลขของไบต์ที่ใช้สำหรับการตรวจสอบความผิดพลาดและการแก้ไข ความถึงการควบคุมโครงสร้าง สำหรับ Mode 1 การเก็บข้อมูล ของ CD-ROM ซึ่ง sector จะแตกออกและใช้เดิมข้อมูล 2,048 ไบต์ และอีก 304 ไบต์ จะนำไปใช้ในการตรวจสอบความผิดพลาดในการแก้ไข เพราะ CD-ROM ไม่มี fault tolerant เหมือน CDs แบบ audio บนดิสก์มีความเร็ว 75 sector ต่อวินาที และความสามารถในการเก็บของดิสก์ 681,984,000 ไบต์ (650 MB) และอัตราการส่งผ่านแบบเดี่ยว 150 KBps โดยอัตราสูงสำหรับไดรฟ์ CD-ROM ความเร็วสูง ความเร็วของไดร์ฟ จะแสดงเป็นทวีคูณของอัตราการส่งผ่านเดียว เช่น 2X, 3X, 6X เป็นต้น ไดร์ฟโดยส่วนใหญ่สนับสนุน CD-ROM XA (Extended Architecture ) และ Photo - CD (รวมถึงดิสก์แบบ maltiplesession )
CD-ROM mode 2
CD-ROM mode 1 ใช้สำหรับข้อมูล audio/video แบบบีบอัด และใช้เพียง 2 ชั้นในการตรวจสอบความผิดพลาดและการแก้ไข เช่นเดียวกับ CD-DA ดังนั้น ไบต์ทั้งหมด 2,336 ไบต์ ที่อยู่ต่อจากไบต์ Sync และ header ใช้ในการเก็บข้อมูล ถึงแม้ว่า sector ของ CD-DA, CD-ROM mode 1 และ mode 2 จะมีขนาดเท่ากัน แต่จำนวนการเก็บข้อมูลทั้งหมดจะแตกต่างกัน เนื่องจากการใช้ไบต์ sync และไบต์ header การตรวจสอบความผิดพลาดและการแก้ไขรูปแบบของ Mode 2 มีวิธีการที่ยึดหยุ่นในการเก็บกราฟฟิก และวิดีโอ โดยยินยอมให้ข้อมูลต่างประเภทกันสามารถรวมกัน และกลายเป็นพื้นฐานของ CD-ROM XA นอกจากนี้ Mode 2 สามารถอ่านได้ด้วยไดร์ฟ CD-ROM ธรรมดา
การเข้ารหัสข้อมูลและการอ่าน
CD-ROM เหมือน CD - adaptarions ประเภทอื่นที่ใช้การเข้ารหัสแถบขด (spiral track) ที่เริ่มจากจุดศูนย์กลางไปยังแถบนอกสุดของดิสก์ แถบขด สามารถเก็บข้อมูลได้บ็บ็บ 650 MB หรือประมาณ 5.5 พันล้านบิต track pitch เป็นระยะระหว่าง track 2 track โดยวัดจากกึ่งกลางของ track หนึ่งไปยังกึ่งกลางของอีก track ซึ่งช่วงจาก 1.5 ถึง 1.7 micron แต่โดยทั่วไปจะเป็น 1.6 micron ความเร็วเชิงเส้นคงที่ เป็นหลักการในการอ่านข้อมูลจาก CD-ROM วิธีการนี้เป็นการระบุให้หัวอ่านต้องตอบสนอง track ข้อมูลด้วยอัตราคงที่ทั้งการอ่านข้อมูลด้านใหญ ่และด้านนอก ทำให้มีผลกับความเร็วรอบมีการเปลี่ยนแปลง 500 รอบ ต่อนาทีที่ศูนย์กลาง ถึง 200 รอบต่อนาที ที่ด้านนอก ใน CD เพลงข้อมูลได้รับการอ่านอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ความเร็วจึงไม่ได้เป็นประเด็นสำคัญ ในอีกด้านหนึ่ง CD-ROM ต้องอ่านข้อมูลแบบสุ่ม ซึ่งมีความจำเป็นที่คงที่ โดยการเปลี่ยนแปลงความเร็วรอบ การหยุดในฟังก์ชันการอ่านจะได้ยินเสียง ทำให้ไดร์ฟที่เร็วจะมีเสียงรบกวน
สารสนเทศเพิ่มเติม
สารสนเทศ CD ที่ดี : The CD Page, a comprehensive resource.อธิบายการทำงาน CD : How Stuff Works.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น